ปริมาณการผลิตต่อคำสั่งซื้อที่จำนวนน้อยลงแต่มีความหลากหลายมากขึ้น อายุการผลิตของแต่ละโมเดลของผลิตภัณฑ์ที่สั้นลง รอบเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สั้นลง รอบเวลาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยาวนานแตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ ปริมาณการผลิต ระยะเวลาการผลิต เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่สำคัญในการวางแผนด้านแม่พิมพ์ ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เมื่อต้องประเมินแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกและเลือกผู้ผลิตแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกสำหรับเติมเต็มในห่วงโซ่อุปทานของกระบวนการผลิตสินค้าพลาสติก แนวทางและรูปแบบล้วนมีความแตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ แต่เชื่อว่ามี 3 สิ่งที่เป็นความต้องการที่คล้ายหรืออาจเหมือนกัน คือ
- 1) ความสามารถในการที่จะตอบสนองระดับคุณภาพที่ต้องการได้
- 2) โอกาสในการที่จะมีความสัมพันธ์ในระยะยาวและพัฒนาไปพร้อม ๆ กันระหว่างผู้ซื้อแม่พิมพ์และผู้ผลิตแม่พิมพ์
- 3) ระดับคุณภาพและราคาที่สัมพันธ์กัน
การประเมินผู้ผลิตแม่พิมพ์ไม่เพียงแต่เป็นการเติมเต็มห่วงโซ่อุปทาน แต่กิจกรรมนี้จัดเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างฐานข้อมูลกลางเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหาร โดยเฉพาะใน OEM ที่ข้อมูลด้านแม่พิมพ์ใหม่นั้นมีความสำคัญทางด้านการบริหาร งบประมาณ ต้นทุน การจัดซื้อ และควบคุมต้นทุนตลอดอายุการใช้งานในช่วงเวลาของการผลิต การประเมินผู้ผลิตแม่พิมพ์ใหม่ จำเป็นต้องมีผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่างๆ ที่จะตรวจประเมิน ไม่เพียงแต่เฉพาะในด้านเทคนิคในการผลิตแม่พิมพ์เท่านั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรมีส่วนร่วม ในที่นี้จะกล่าวถึงรายละเอียดของการประเมินผู้ผลิตแม่พิมพ์ในแง่มุมต่างๆ
1) ประเภทผลิตภัณฑ์ :
เริ่มแรกคือการมองที่ตนเอง การรู้จักตนเองจะทำให้เข้าใจเป้าหมายและสามารถกำหนดแนวทางให้สอดคล้องกับทิศทางของบริษัท ว่าเราคือผู้ผลิตชิ้นงานพลาสติก และประกอบเป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายเพื่อขายให้แก่ OEM หรือ เราเป็นเพียงแมนูแฟคจูเร่อร์ (Manufacturer) ผู้ผลิตชิ้นส่วนเพื่อสนับสนุนแก่ OEM หรือ เราเป็น OEM เสียเอง นโยบายจะช่วยให้เราสามารถกำหนดทิศทางและรูปแบบในการทำงานในการประเมินและเลือกผู้ผลิตแม่พิมพ์ที่สอดคล้อง และ มีคุณภาพเหมาะสมที่จะมาเติมเต็มได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ที่สำคัญที่สุด คือ การเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์
2) การประเมินด้านตลาด:
ประเภทของแม่พิมพ์ที่ผู้ผลิตแม่พิมพ์ผลิตเพื่อสนับสนุนตลาดใดเป็นหลัก เช่น แม่พิมพ์เพื่อสนับสนุนชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเลคโทรนิกส์ หรือ คอนซูเม่อร์โปรดักส์ เป็นการประเมินเบื้องต้นเพื่อประกอบการพิจารณาถึงความสอดคล้องกับตัวเรา การตลาดจำเป็นที่ต้องทราบถึงตลาดหลักว่าเป็นการผลิตเพื่อขายภายในประเทศหรือส่งออก และส่งออกไปจำหน่ายที่ใดบ้าง ด้วยสัดส่วนมากน้อยเพียงใด ลูกค้าหลักของผู้ผลิตแม่พิมพ์แต่ละรายคือลูกค้ารายใดบ้าง และอาจมีการสอบถามถึงคู่แข่งทางด้านการค้าของผู้ผลิตแม่พิมพ์แต่ละรายและสอบถามถึงแนวคิดทางด้านกลยุทธ์การตลาด การประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน ของคู่แข่งและตนเองไว้ว่าอย่างไรบ้าง เนื่องจากการประเมินส่วนนี้จะช่วยให้เราทราบถึงประสบการณ์ที่เป็นจุดแข็งของผู้ผลิตแม่พิมพ์
3) กลยุทธ์การบริหารของผู้ผลิตแม่พิมพ์:
กลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการของผู้บริหารระดับสูงมีความสำคัญต่อการควบคุมการผลิตแม่พิมพ์และคุณภาพของแม่พิมพ์ การประเมินรูปแบบของการสื่อสารภายใน การสื่อสารกับลูกค้า ระบบเอกสารในการสื่อสารทั้งภายในและการสื่อสารกับลูกค้าภายนอก การมีบันทึกต่างสัมพันธ์กับความสามารถในการสื่อสาร รูปแบบในการสื่อสารกับลูกค้า เช่น การสื่อสารเป็นเพียงการใช้ถ้อยคำในการสื่อสารไม่มีการบันทึก หรือ ในการนำเสนอมีการนำเสนอด้วยเอกสารข้อมูลที่น่าเชื่อถือกลยุทธ์การบริหารหน่วยงานด้านการออกแบบแม่พิมพ์ ผู้ผลิตแม่พิมพ์วางกลยุทธ์ด้านแผนกออกแบบแม่พิมพ์อย่างไร มีการสร้างความเข้มแข็งให้แผนกแม่พิมพ์อย่างไร ออกแบบด้วยบุคลากรภายใน หรือ ภายนอก และหากใช้การออกแบบจากภายนอกนั้นคิดเป็นสัดส่วนเท่าไร ประเมินทักษะความสามารถของผู้ออกแบบแม่พิมพ์ที่เป็นบุคลากรภายในควบคู่กันไปด้วย อีกด้านหนึ่งที่เกี่ยวโยงกับกลยุทธ์การบริหารของผู้ผลิตแม่พิมพ์ คือ การกระจายแหล่งที่มาของรายได้ เช่น มีลูกค้าจำนวนกี่ราย รายใดคือลูกค้าหลัก และรายได้ที่ได้รับจากลูกค้าหลักแต่ละรายคิดเป็นกี่ % ของรายได้ทั้งหมด
4) ประสบการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบันของผู้ผลิตแม่พิมพ์:
บันทึกรายชื่อลูกค้านับแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และ ปริมาณแม่พิมพ์ที่จำหน่ายแก่ลูกค้าแต่ละรายเป็นข้อมูลที่ผู้ผลิตแม่พิมพ์สามารถให้ข้อมูลได้ จำนวนบุคลากรด้านต่างๆ เครื่องจักรที่มีและปริมาณการผลิตแม่พิมพ์ในแต่ละช่วงปีที่ผ่านมา จำนวนแม่พิมพ์ที่ผลิตในแต่ละปีจนถึงปีล่าสุด ขายในประเทศ และ ส่งออกขายต่างประเทศเป็นจำนวนหรือสัดส่วนเท่าไร
5) ความสามารถด้านวิศวกรรม :
หลายประเด็นและหลายส่วนที่จะต้องตรวจประเมินในด้านความสามารถทางวิศวกรรม เริ่มที่ด้านการออกแบบแม่พิมพ์ ระบบการบริหารซอท์ฟแวร์ที่ใช้ในการออกแบบ มีการบริหารให้มีการอัพเดทเวอร์ชั่นตรงตามที่ต้องการหรือไม่ เป็นซอท์ฟแวร์ชนิดเดียวกัน หรือมีความเข้ากันได้หรือไม่ ความสามารถในการออกแบบ 1K 2K และ 3K การออกแบบแม่พิมพ์เพื่อการฉีดแก๊ส หรือ MuCell มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบแม่พิมพ์ทางวิ่งร้อน (Hot Runner) หรือไม่ การนำเทคโนโลยีด้านการจำลองกระบวนการฉีด และโปรแกรมด้านไฟไนต์อิเลเมนต์ที่ช่วยตรวจสอบวิเคราะห์ความแข็งแรงมาช่วยงานหรือไม่ อย่างไร หากไม่มี ในกรณีที่ต้องการผลลัพธ์จากโปรแกรมดังกล่าวมีการบริหารอย่างไร หรือไม่สามารถซัพพอร์ตได้ ตรวจประเมินด้านรูปแบบของการออกแบบแม่พิมพ์ จำเป็นต้องมีขั้นตอนของการออกแบบเบื้องต้น(Pre-Design) หรือนิยมเรียกว่า DFM ; Design For Manufacturing เสมอ ในฐานะที่ผู้ตรวจประเมินต้องดำเนินงานตามนโยบายก็จะสามารถทราบได้ถึงความสอดคล้องหรือไม่อย่างไร การตรวจสอบขนาดของชิ้นส่วนแม่พิมพ์ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญ ในด้านการบริหารคุณภาพของการผลิตแม่พิมพ์ โรงงานผลิตแม่พิมพ์ควรมีการบริหารให้มีหน่วยงานด้านคุณภาพโดยเฉพาะ และการวัดละเอียดต่างๆ ถูกกำหนดและวางแผนจากส่วนงานนี้ โดยมีเครื่องมือวัดละเอียด หรือ CMM ในการตรวจวัดขนาดชิ้นส่วนแม่พิมพ์ หรือ ตรวจวัดขนาดของชิ้นงานพลาสติกหลังการฉีดพลาสติก ต้องมีการขอดูเอกสารบันทึก และ สถานที่จริง เพื่อให้สามารถประเมินได้ถึงความสามารถของเครื่องมือและความสามารถของบุคลากร การวัดด้วย CMM เป็นการวัดแบบควบคุมด้วยมือแบบแมนวล หรือ เป็นการวัดที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยคอมพิวเตอร์ ชุดอุปกรณ์จับยึดชิ้นงานมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
เครื่องฉีดพลาสติกที่ใช้ในการทดลองแม่พิมพ์ ก็เป็นอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ต้องพิจารณา เนื่องจากในการยืนยันผลการฉีดพลาสติกนั้นจำเป็นที่จะต้องจำลองกระบวนการฉีดทดลองให้เสมือนจริงกับการผลิต เช่น ในการผลิตจริงมีการติดตั้งชุดแขนหุ่นยนต์ในการลำเลียงระหว่างไซเคิล ในการทดลองแม่พิมพ์ก็ควรมีการขำลองให้เหมือนการผลิตจริงให้มากที่สุด โดยเฉพาะในขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะอนุมัติแม่พิมพ์ หรือ ก่อนการส่งมอบแม่พิมพ์ การยืนยันกระบวนการฉีดพลาสติกด้วยเครื่องมือที่ชี้วัดค่าได้ เช่น เซ็นเซอร์ความดันในโพรงแม่พิมพ์เพื่อยืนยันความเสถียรในการฉีดต่อเนื่อง การใช้เซ็นเซอร์อัตราการไหล อุณหภูมิ และตวามดันสูญเสียในระบบน้ำหล่อเย็น เพื่อยืนยันอุณหภูมิแม่พิมพ์ให้คงที่ก่อนที่จะเริ่มยืนยันคุณภาพของชิ้นงาน หรือแม้แต่การเชื่อมโยงข้อมูลจาก MoldflowSimulation สู่เครื่องฉีดพลาสติก ในส่วนนี้สิ่งสำคัญในการตรวจประเมินคือความมีระบบ และวิธีการมาตรฐานในการทดลองแม่พิมพ์หรือการฉีดพลาสติกที่ถูกต้องเป็นระเบียบขั้นตอน เริ่มจากการฉีดเพื่อศึกษาหน้าต่างของกระบวนการ(Molding Windows) การศึกษาความหนืดของพลาสติก (Rheology Test) การศึกษาความดันสูญเสีย (Pressure Loss)ในช่วงความยาวการไหลในสปรู การสูญเสียความดันในรันเนอร์ และการสูญเสียความดันในการไหลในคาวิตี้ และมีรายงานผลที่เป็นระบบครบถ้วนและชัดเจน การมีมาตรฐานเช่นนี้ก็เป้นตัวชี้วัดถึงความสามารถด้านวิศวกรรมที่สำคัญ นอกจากนี้ ควรศึกษาลงไปในรายละเอียดของระบบ CAD/CAM/CAE ของผู้ผลิตแม่พิมพ์ ประกอบด้วยจำนวนของ CAD และ จำนวนของ CAM ความสามารถด้าน Hi Speed machining สัดส่วนของงาน EDM ซึ่งใช้เวลานาน และ ขั้นตอนการขัดผิว (Polishing) ความสามารถในการขัดผิวสามารถดูได้จากอุปกรณ์และนัมเบอร์ของความละเอียดผิว ซึ่งควรมีการจัดพื้นที่เฉพาะหรือแยกห้องสำหรับขัดผิว ขนาดแม่พิมพ์ ขนาดของเครนยกน้ำหนัก จากนั้นก็ให้คะแนนตามที่กำหนดไว้
6) ความสามารถในการผลิต :
เครื่องจักรและเครื่องมือในโรงงานผลิตสามารถชี้วัดถึงความสามารถในการผลิตได้ รายการเครื่องจักร อายุเครื่องจักรและสภาพเครื่องจักร (สามารถประเมินจากความเก่าใหม่ของเครื่องจักรได้) ความสามารถในการสร้างแม่พิมพ์ 2K และ 3K การสร้างแม่พิมพ์เพื่อการฉีดแก๊ส หรือ MuCell มีความเชี่ยวชาญในการสร้างแม่พิมพ์ทางวิ่งร้อน (Hot Runner) ขั้นตอนในการทำงาน ระบบการวางแผนและควบคุมการผลิต รูปแบบรายงานความก้าวหน้าของงาน ขั้นตอนการตรวจสอบชิ้นส่วนแม่พิมพ์ ขนาดและความเที่ยงตรงในการตัดเฉือน รูปแบบของการติดตามงานภายใน อัตราการเข้า-ออกของพนักงานช่างแม่พิมพ์ ปริมาณแม่พิมพ์ที่สามารถผลิตได้ในเวลาเดียวกัน เช่น 10 แม่พิมพ์ที่สามารถวางแผนเพื่อสร้างได้พร้อม ๆ กัน ระยะเวลาในการสร้างแม่พิมพ์ที่รับประกัน เช่น 50 วัน นับแต่การยืนยันแบบแม่พิมพ์จนกระทั้งการประกอบเพื่อทดลองครั้งแรก (T0) ความสะอาดเป็นระเบียบของพื้นที่ การบริหารด้านความปลอดภัยของพื้นที่ปฏิบัติงานสามารถ บ่งชี้และเชื่อมโยงได้กับความสามารถของการผลิต สิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องสามารถยืนยันได้ว่า มี Capacity เหลือพอที่จะรับคำสั่งผลิตแม่พิมพ์ใหม่เพิ่มขึ้นจากเดิม การพิจารณาให้น้ำหนักพิเศษแก่ผู้ที่มีโรงงานผลิตชิ้นงานฉีดพลาสติกด้วยในตัวเองก็เป็นแนวทางประเมินที่เป็นประโยชน์มากเช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้ผลิตแม่พิมพ์และผู้ผลิตชิ้นงานพลาสติกเป็นรายเดียวกันนั้นสามารถที่จะควบคุมต้นทุนและมีระบบการควบคุมคุณภาพที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ผลิตแม่พิมพ์เพียงอย่างเดียว
7) ระบบบริหารคุณภาพ ISO:
ขอดูเอกสารรับรองการได้มาตรฐานระบบบริหารคุณภาพว่าเป็นประเภทใด และได้รับจากสถาบันใด ผู้ใดเป็นผู้บริหารคุณภาพภาพภายในบริษัท ตรวจสอบดูแผนการฝึกอบรมพนักงานว่ามีความมุ่งมั่นในการพัฒนาความสามารถของพนักงานมากน้อยเพียงใด มีระบบเอกสารในการอนุมัติชิ้นงานจากแม่พิมพ์ใหม่หรือไม่
8) ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาแม่พิมพ์:
สอบถามถึงราคาของแม่พิมพ์ของผู้ผลิตที่ทำการตรวจประเมิน เพื่อที่ผู้ประเมินสามารถระบุระดับของราคาแม่พิมพ์ สอบถามถึงเหตุผลประกอบหากพบว่าแม่พิมพ์มีราคาสูงกว่าระดับราคาเฉลี่ย ซึ่งการสอบถามกับผู้ผลิตแม่พิมพ์เช่นนี้จะทำให้ได้ข้อมูลประกอบที่เป็นประโยชน์อย่างมาก เช่น การเลือกใช้วัสดุในการทำแม่พิมพ์ การเลือกใช้เหล็กที่เหมาะสมในการสร้างแม่พิมพ์ การที่สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถูดิบและแนวคิดในการเลือกใช้เหล็กทำแม่พิมพ์ที่มีความสมดุลกับระดับคุณภาพของแม่พิมพ์ที่ต้องการ ซึ่งมักใช้จำนวนชิ้นหรือจำนวนไซเคิลในการฉีดมาพิจารณา เพราะหากผู้ประเมินไม่มีความเข้าใจในประเด็นนี้และพยายามโฟกัสที่จะต้องใช้เหล็กแม่พิมพ์คุณภาพสูงแต่เพียงอย่างเดียวซึ่งราคาเหล็กอาจมีราคาสูงกว่าเหล็กทำแม่พิมพ์ที่สัมพันธ์กับระดับคุณภาพที่ต้องการก็อาจจะไม่สามารถได้ผู้ผลิตแม่พิมพ์ที่มีคุณภาพและราคาที่สามารถแข่งขันได้เนื่องจากราคาเหล็กทำแม่พิมพ์คุณภาพสูงมีราคาถึง 3 -4 เท่าตัว ซึ่งอาจเกินความจำเป็นในการเลือกใช้เพื่อผลิตแม่พิมพ์ที่มีระดับคุณภาพที่ต้องการการันตีไม่มากนัก ซึ่งหลักการที่ดีที่สุดนั้นควรมองที่ความสมดุลระหว่างราคาและระดับคุณภาพที่คาดหวัง