Moldflow Software จากจุดเริ่มต้นสู่เครื่องมือสำคัญของอุตสาหกรรมพลาสติกไทย
หากย้อนกลับไปเมื่อราว 20 ปีก่อน “Moldflow” ยังเป็นคำที่ฟังดูไกลตัวสำหรับผู้ประกอบการไทยในวงการฉีดพลาสติก หลายโรงงานยังคงใช้หลักการออกแบบแม่พิมพ์จากประสบการณ์และการลองผิดลองถูก แม้จะรู้ว่าเวลาและต้นทุนคือทรัพยากรสำคัญ แต่ในยุคนั้น การนำซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยวิเคราะห์การไหลของพลาสติกกลับดูเป็นเรื่อง “ไกลตัว” และ “เกินจำเป็น”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ความซับซ้อนของชิ้นงานและการออกแบบแม่พิมพ์เพิ่มสูงขึ้น ความเสียหายจากการออกแบบผิดพลาดเริ่มกลายเป็นต้นทุนแฝงที่ไม่อาจมองข้าม Moldflow จึงเริ่มได้รับความสนใจจากกลุ่มวิศวกรออกแบบที่มองการณ์ไกล และบริษัทข้ามชาติที่ต้องการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นทาง
ปัจจุบัน Moldflow ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ซอฟต์แวร์จำลองการไหลของพลาสติก” แต่กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านการลงทุนในแม่พิมพ์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องผลิตจำนวนมาก เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า หรือสินค้าอุปโภค
ผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากเริ่มเข้าใจว่า การลงทุนใน Moldflow ไม่ใช่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่คือ “การป้องกันต้นทุนที่ไม่ควรเกิด” โดยการวิเคราะห์ที่แม่นยำตั้งแต่ต้นสามารถลดจำนวนการแก้ไขแม่พิมพ์ ลดเวลา trial และลดของเสียที่เกิดจากการผลิตจริง
แม้ซอฟต์แวร์จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีฟังก์ชันมากมายที่รองรับชิ้นงานและวัสดุที่หลากหลาย แต่ปัญหาหลักของประเทศไทยกลับอยู่ที่ “กำลังคน” และ “ความเข้าใจ” ของทั้งทีมเทคนิคและผู้บริหาร การขาดผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจทั้งด้าน simulation และการใช้งานจริงในโรงงาน ทำให้ศักยภาพของ Moldflow ยังไม่ถูกใช้เต็มที่
ในบางกรณี บริษัทมีซอฟต์แวร์ แต่ขาดการอบรมหรือแนวทางการใช้ที่เหมาะสม ทำให้การตัดสินใจจากผลวิเคราะห์ไม่สามารถสะท้อนความจริงในโรงงานได้ ส่งผลให้ผู้บริหารบางท่านเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของการลงทุน
ทิศทางในอนาคตของ Moldflow ในประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก:
- การพัฒนาทักษะของบุคลากรไทย ทั้งในระดับวิศวกรออกแบบและฝ่ายผลิต
- ความเข้าใจร่วมกันระหว่างทีมเทคนิคและผู้บริหาร ในการใช้ข้อมูลจาก Moldflow เพื่อการตัดสินใจ
- การบูรณาการ Moldflow เข้ากับกระบวนการผลิตจริง เช่น การเชื่อมโยงกับเครื่องฉีดพลาสติก และระบบวัดผลในโรงงาน
สุดท้ายแล้ว Moldflow จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีพลัง ตราบใดที่ผู้ใช้งานเข้าใจและใช้มันอย่างถูกต้อง เพราะ “ข้อมูล” ที่แม่นยำ ย่อมช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจแม่นยำยิ่งกว่า
